พระปลุกพระ หรือต้องให้พระฝรั่งปลุกพระไทย #ภัยพระพุทธศาสนา
"ปลุกพระ - พระปลุก
บางทีพระฝรั่งอาจต้องมาปลุกพระไทย
เพราะพระไทยไม่มีประสบการณ์ในภาพรวม"
@ ชาวพุทธไทยเราพอได้ยินคำว่า ปลุกพระ ก็จะเข้าใจกันเลยว่า คือ การปลุกเสกพระเครื่อง ซึ่งเกิดจากเอาวัสดุเช่น แร่ โลหะ มาทำหรือปั้นหรือหล่อตามแบบพิมพ์ที่แกะไว้แล้ว วิธีการปลุกเสกก็คือ นั่งสมาธิแล้วแผ่อำนาจจิตที่บ่มเพาะด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเข้าไปฝังตัวอยู่องค์พระจำลองนั้น ซึ่งเรียกว่า
"พุทธปฏิมา" หรือบางทีก็ใช้ว่า "พุทธรูป"
@ การปลุกอย่างนี้เป็นคำไทย ซึ่งก็คงหมายความว่า ทำองค์พระพุทธปฏิมาที่สร้างนั้นๆให้เป็นที่สถิตของความขลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ทำย่างนี้ได้ต้องมีสมาธิสูง จึงมีพลานุภาพ ส่วนใหญ่พระสงฆ์ทรงฌานจะเป็นผู้ทำ ว่ากันว่า การปลุกพระอย่างที่ว่ามานี้นิยมทำกันมากในสมัยอยุธยาซึ่งเป็นยุคที่บ้านเมืองมีแต่สงคราม เพราะต้องการให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารหาญผู้ออกทำศึกสงครามป้องกันชาติบ้านเมืองสถาบันพระมหากษัตริย์ประชาชน แต่แล้วเราก็เสียบ้านเมืองแก่ศัตรูจนได้
@ เพราะอะไร ? เพราะเรามัวแต่ปลุกพระพุทธปฏิมา แต่เราไม่ไดั"ปลุกพระสงฆ์" ซึ่งมีชีวิตเลือดเนื้อที่ต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ตื่นมาทำหน้าทีของท่านกับพวกเรา
@ หลายคนว่าไม่เหมาะ เพราพระสงฆ์ต้องสงบ ยิ่งเป็นเถรวาทยิ่งต้องสงบถึงขั้นเงียบเลยจึงจะขื่อว่าเป็น" สมณะ" ซึ่งแปลว่า ผู้สงบ แต่คำนี้พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า หมายถึง ผู้ทำกิเลสให้สงบ ซึ่งไม่ใช่สงบเงียบแบบไม่สนใจอะไรแล้วปล่อยให้กิเลสก่อตัวขึ้นมาเล่นงาน กิเลสที่ชอบตีคู่มากับความสงบคือความเกียจคร้าน (โกสัชชะ) และความเฉื่อยชา (ถีนมิทธะ) ซึ่งมักหลอกเราให้เข้าใจผิดแต่เท่ห์ว่า นี่แหละคือ "การปล่อยวาง"
@ เอาละถ้าใครจะเข้าใจอย่างนั้นก็ไม่ว่า ...แต่อยากให้ลองนึกถึงพระอรหันต์ที่ท่านเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวคือการฝึกหัดเพื่อรู้แจ้งความจริงของชีวิตที่เรียกว่า "อริยสัจ" แล้ว แต่ท่านทำภารกิจคือการรักษาพระพุทธศาสนาต่อไป จะเห็นว่าธรรมทูตชุดแรก ๖๐ รูปที่พระพุทธเจ้าส่งออกไปทำงานทั่วชมพูทวีปก็ล้วนเป็นพระอรหันต์ ซึ้งล้วนแต่หมดกิเลส แต่ละรูปไปทำงานหนัก พระพุทธเจ้าเองทำงานหนักกว่าใคร...แต่ก็ได้ผลคุ้มค่า คือ ล้มสำนักชฎิลกัสสปะ ๓ พี่น้องได้ โดยไม่ใช้อามิสสินจ้างหลอกล่อ โดยไม่ใช้การข่มขู่ให้หวาดกลัว...แต่ให้ปัญญาแก่พวกเขา จนพวกเขาประกาศว่า ..."ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นพระศาสดาของพวกหม่อมฉัน พวกหม่อมฉันเป็นพระสาวก"
@ ยังพระอรหันตสาวกรูปอื่นๆอีก หลังจากพระพุทธเจ้าปลุกให้ท่านตื่นแล้ว ท่านก็ออกไปปลุกคนอื่นให้ตื่นต่อ การปลุกให้ตื่นคือการปลุกใจให้ตื่นด้วยพลังศรัทธาพลังสติพลังปัญญาพลังวิรืยะและสมาธิถึงขั้นกองทัพกิเลสอยู่ไม่ได้ คนที่ท่านปลุกใหตื่น ต่อมาก็ร่วมกันรับผืดชอบพระพุทธศาสนา
@ "การตื่นใน" ดังว่ามานี้ ทำให้เกิด"การตื่นนอก" คือตื่นรับรู้สถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะที่มากระทบพระพุทธศาสนา อย่าคิดแค่เพียงว่า เราทำตัวดีก็พอแล้ว เพราะถ้าพอ พระพุทธเจ้าไม่สอนพระสาวกให้รู้จักตอบโต้หรอก ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า "แก้ปรัปปวาท" (ข้อกล่าวหาของคนอื่น)
@ ทุกวันนี้ พระเราถูกสังคมกล่าวหาเพียบ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใช้ชีวิตที่สุขสบายอย่างฆราวาส สะสมทรัพย์สมบัติ มัวเมาในลาภและยศศักดิ์ และติดสุข...ต่างศาสนาเขาก็เอาข้อกล่าวหาไปเป็นจุดอ่อนโจมตีเรา...ยิ่งฝ่ายบ้านเมืองก็เลยถือเป็นโอกาสปล่อยวางไม่สนใจป้องกันสถาบันพระพุทธศาสนา ซึ่งพวกเราชาวพุทธถือว่า"เป็เหมือนบ้านพักใจ" ฆราวาสอย่างพวกเราเห็นว่าไฟกำลังไหม้บ้านก็โต้ยันกันไว้แล้วเดินสายเคาะประตูปลุกชาวพุทธทั้งฆราวาสทั้งพระ
@ เล่ามาถึงตอนนี้ อยากให้ดูภาพข้างล่าง ซึ่งเป็นภาพของพระฝรั่ง คือ พระญาณโปณิะ ท่านถูกปลุกจากเยอรมันให้ตื่นมารับรู้เรื่องพระพุทธศาสนาจนกระทั่งต้องมาบวชเรียนที่ลังกาเรียนแล้วใช้เป็นเครื่องมือศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา ท่านรูปนี้แหละ (ถ้าจำไม่ผิด) ที่แปลวิสุทธิมรรคเป็นภาษาเยอรมันแล้วถ่ายทอดไปเป็นภาษาอังกฤษให้ทั่วโลกได้ศึกษา และเผยแพร่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ชาวยุโรปตื่นมาสนใจพระพุทธศาสนา
@ พระยังมีบทบาทสำคัญ ยิ่งนิกายเถรวาทด้วยแล้ว พระสำคัญมากเพราะถือเพศพรหมจรรย์ ตลอดเวลาที่ผ่านๆมาในอดีต ถือกันว่าพระเถรวาทมีวัตรปฏิบัติใกล้เคียงพระยุคพระพุทธศาสนาดั้งเดิม (Primitive Buddhism) นับตั้งแต่พุทธกาลลงมาถึงยุคหลังพุทธกาลสัก ๑๐๐ ปี มากที่สุด ที่บ้านเราก็คิดกันเช่นนั้น ดังนั้นเวลาจะทำงานหรือพืธีการอะไร ถ้ามีพระอยู่ด้วย ต้องให้โอกาสพระก่อน คราวนี้ที่พระพุทธศาสนามีภัย เราก็หวังอย่างนั้น เพราะพระคือศาสนทายาทมี่ใกล้ชืดที่สุด แต่ก็ยังไม่สมหวัง ฆราวาสอย่างพวกเรารอไม่ไหวจึงต้องกระโดดออกมาอยู่แถวหน้าก่อน เพื่อกู่ก้องร้องป่าวว่า "ภัยมา ภัยมา"
@ อาจเป็นเพระว่า พระเพระเถรวาทถูกฝึกให้สงบมานาน มีภัยอะไรราชการก็จัดการให้อย่างที่พระเจ้าอโศกทรงทำ ในบ้านเราก็เช่นกัน
ในความสงบอย่างนี้ ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านตื่นรับรู้สถานการณ์ได้ทัน แต่ถ้าเป็นปุถุชนก็อันตราย เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ความเกียจคร้านกับความเฉื่อยชาจะตามมาประกบกัน หลายท่านจึงวิจารณ์ว่า "นี่แหละความสงบสยบต่อกิเลส" อันทำให้จิตถดถอยกลับไปยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง...ผลจึงออกมาเป็นความคิดอย่างไม่น่าเชื่อว่า
"พระพุทธศาสนาพังได้ แต่ฉันพังไม่ได้"
ครับ ! พระเถรวาทชั้นพระเถระบางรูปในบ้านเรากล่าวอย่างนี้จริงๆ ตอนเราไปขอความช่วยเหลือ
ตอนนั้นผมได้ยินแล้วตกใจ จึงนึกตำหนิท่านว่า ทำกรรมหนักแก่พระพุทธศาสนาเสียแล้ว แต่ตอนนี้อภัยให้ท่านเพราะท่านก็ไปตามกรรม (ยถากมฺมํ คโต) ของท่านแล้ว
@ บัดนี้ ผลจากการเดินสายปลุกพระของคณะเรา มีพระคุณเจ้าจำนวนหนึ่งตื่นแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ..เพราะภัยมาแรงเหลือเกิน จึงต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจจากพระคุณเจ้ามาช่วยระงับ
@ ตื่นเถอะครับ ..พระคุณเจ้า ภัยครั้งนี้ ไม่ได้มาแบบโฉ่งฉ่างอย่างที่ชาวพุทธเจอตามเส้นทางสายไหม และในอินเดีย แต่มาแบบเงียบเชียบเหมือนอย่างที่เคยเข้ามาในอินโดนีเซียคือยึดฐานสำคัญคือการเมือง การปกครอง และระบบราชการ พร้อมส่งผูหญิงหน้าตาดีไปรับใช้ผู้หลักผู้ใหญ่ในหน่วยราชการเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์สืบเชื้อสาย ซึ่งพุทธทำไม่ได้เลย และไม่มีปัญญาทำ เพราะชาวพุทธไม่รู้แผน และไม่วางแผน
@ และซ้ำร้ายคือ วัดพุทธแม้มีเงินก็สงวนเงินไว้สำหรับวัดใครวัดมัน มากกว่าการจะนำมาใช้เพื่อรักษาภาพรวม ...เพราะมักอ้างพระวินัยข้อว่า "ลาภเกิดแก่สงฆ์วัดใดต้องให้แก่สงฆ์วัดนั้น" วัดที่มีเงินเลยได้โอกาสไม่ให้ใคร อ้างว่าเพื่อรักษาพระวินัย แต่หลายคนว่า น่าจะเสียดายเงินมากกว่า...
ที่มา Banjob Bannaruji
บางทีพระฝรั่งอาจต้องมาปลุกพระไทย
เพราะพระไทยไม่มีประสบการณ์ในภาพรวม"
@ ชาวพุทธไทยเราพอได้ยินคำว่า ปลุกพระ ก็จะเข้าใจกันเลยว่า คือ การปลุกเสกพระเครื่อง ซึ่งเกิดจากเอาวัสดุเช่น แร่ โลหะ มาทำหรือปั้นหรือหล่อตามแบบพิมพ์ที่แกะไว้แล้ว วิธีการปลุกเสกก็คือ นั่งสมาธิแล้วแผ่อำนาจจิตที่บ่มเพาะด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเข้าไปฝังตัวอยู่องค์พระจำลองนั้น ซึ่งเรียกว่า
"พุทธปฏิมา" หรือบางทีก็ใช้ว่า "พุทธรูป"
@ การปลุกอย่างนี้เป็นคำไทย ซึ่งก็คงหมายความว่า ทำองค์พระพุทธปฏิมาที่สร้างนั้นๆให้เป็นที่สถิตของความขลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ทำย่างนี้ได้ต้องมีสมาธิสูง จึงมีพลานุภาพ ส่วนใหญ่พระสงฆ์ทรงฌานจะเป็นผู้ทำ ว่ากันว่า การปลุกพระอย่างที่ว่ามานี้นิยมทำกันมากในสมัยอยุธยาซึ่งเป็นยุคที่บ้านเมืองมีแต่สงคราม เพราะต้องการให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารหาญผู้ออกทำศึกสงครามป้องกันชาติบ้านเมืองสถาบันพระมหากษัตริย์ประชาชน แต่แล้วเราก็เสียบ้านเมืองแก่ศัตรูจนได้
@ เพราะอะไร ? เพราะเรามัวแต่ปลุกพระพุทธปฏิมา แต่เราไม่ไดั"ปลุกพระสงฆ์" ซึ่งมีชีวิตเลือดเนื้อที่ต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ตื่นมาทำหน้าทีของท่านกับพวกเรา
@ หลายคนว่าไม่เหมาะ เพราพระสงฆ์ต้องสงบ ยิ่งเป็นเถรวาทยิ่งต้องสงบถึงขั้นเงียบเลยจึงจะขื่อว่าเป็น" สมณะ" ซึ่งแปลว่า ผู้สงบ แต่คำนี้พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า หมายถึง ผู้ทำกิเลสให้สงบ ซึ่งไม่ใช่สงบเงียบแบบไม่สนใจอะไรแล้วปล่อยให้กิเลสก่อตัวขึ้นมาเล่นงาน กิเลสที่ชอบตีคู่มากับความสงบคือความเกียจคร้าน (โกสัชชะ) และความเฉื่อยชา (ถีนมิทธะ) ซึ่งมักหลอกเราให้เข้าใจผิดแต่เท่ห์ว่า นี่แหละคือ "การปล่อยวาง"
@ เอาละถ้าใครจะเข้าใจอย่างนั้นก็ไม่ว่า ...แต่อยากให้ลองนึกถึงพระอรหันต์ที่ท่านเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวคือการฝึกหัดเพื่อรู้แจ้งความจริงของชีวิตที่เรียกว่า "อริยสัจ" แล้ว แต่ท่านทำภารกิจคือการรักษาพระพุทธศาสนาต่อไป จะเห็นว่าธรรมทูตชุดแรก ๖๐ รูปที่พระพุทธเจ้าส่งออกไปทำงานทั่วชมพูทวีปก็ล้วนเป็นพระอรหันต์ ซึ้งล้วนแต่หมดกิเลส แต่ละรูปไปทำงานหนัก พระพุทธเจ้าเองทำงานหนักกว่าใคร...แต่ก็ได้ผลคุ้มค่า คือ ล้มสำนักชฎิลกัสสปะ ๓ พี่น้องได้ โดยไม่ใช้อามิสสินจ้างหลอกล่อ โดยไม่ใช้การข่มขู่ให้หวาดกลัว...แต่ให้ปัญญาแก่พวกเขา จนพวกเขาประกาศว่า ..."ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นพระศาสดาของพวกหม่อมฉัน พวกหม่อมฉันเป็นพระสาวก"
@ ยังพระอรหันตสาวกรูปอื่นๆอีก หลังจากพระพุทธเจ้าปลุกให้ท่านตื่นแล้ว ท่านก็ออกไปปลุกคนอื่นให้ตื่นต่อ การปลุกให้ตื่นคือการปลุกใจให้ตื่นด้วยพลังศรัทธาพลังสติพลังปัญญาพลังวิรืยะและสมาธิถึงขั้นกองทัพกิเลสอยู่ไม่ได้ คนที่ท่านปลุกใหตื่น ต่อมาก็ร่วมกันรับผืดชอบพระพุทธศาสนา
@ "การตื่นใน" ดังว่ามานี้ ทำให้เกิด"การตื่นนอก" คือตื่นรับรู้สถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะที่มากระทบพระพุทธศาสนา อย่าคิดแค่เพียงว่า เราทำตัวดีก็พอแล้ว เพราะถ้าพอ พระพุทธเจ้าไม่สอนพระสาวกให้รู้จักตอบโต้หรอก ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า "แก้ปรัปปวาท" (ข้อกล่าวหาของคนอื่น)
@ ทุกวันนี้ พระเราถูกสังคมกล่าวหาเพียบ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใช้ชีวิตที่สุขสบายอย่างฆราวาส สะสมทรัพย์สมบัติ มัวเมาในลาภและยศศักดิ์ และติดสุข...ต่างศาสนาเขาก็เอาข้อกล่าวหาไปเป็นจุดอ่อนโจมตีเรา...ยิ่งฝ่ายบ้านเมืองก็เลยถือเป็นโอกาสปล่อยวางไม่สนใจป้องกันสถาบันพระพุทธศาสนา ซึ่งพวกเราชาวพุทธถือว่า"เป็เหมือนบ้านพักใจ" ฆราวาสอย่างพวกเราเห็นว่าไฟกำลังไหม้บ้านก็โต้ยันกันไว้แล้วเดินสายเคาะประตูปลุกชาวพุทธทั้งฆราวาสทั้งพระ
@ เล่ามาถึงตอนนี้ อยากให้ดูภาพข้างล่าง ซึ่งเป็นภาพของพระฝรั่ง คือ พระญาณโปณิะ ท่านถูกปลุกจากเยอรมันให้ตื่นมารับรู้เรื่องพระพุทธศาสนาจนกระทั่งต้องมาบวชเรียนที่ลังกาเรียนแล้วใช้เป็นเครื่องมือศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา ท่านรูปนี้แหละ (ถ้าจำไม่ผิด) ที่แปลวิสุทธิมรรคเป็นภาษาเยอรมันแล้วถ่ายทอดไปเป็นภาษาอังกฤษให้ทั่วโลกได้ศึกษา และเผยแพร่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ชาวยุโรปตื่นมาสนใจพระพุทธศาสนา
@ พระยังมีบทบาทสำคัญ ยิ่งนิกายเถรวาทด้วยแล้ว พระสำคัญมากเพราะถือเพศพรหมจรรย์ ตลอดเวลาที่ผ่านๆมาในอดีต ถือกันว่าพระเถรวาทมีวัตรปฏิบัติใกล้เคียงพระยุคพระพุทธศาสนาดั้งเดิม (Primitive Buddhism) นับตั้งแต่พุทธกาลลงมาถึงยุคหลังพุทธกาลสัก ๑๐๐ ปี มากที่สุด ที่บ้านเราก็คิดกันเช่นนั้น ดังนั้นเวลาจะทำงานหรือพืธีการอะไร ถ้ามีพระอยู่ด้วย ต้องให้โอกาสพระก่อน คราวนี้ที่พระพุทธศาสนามีภัย เราก็หวังอย่างนั้น เพราะพระคือศาสนทายาทมี่ใกล้ชืดที่สุด แต่ก็ยังไม่สมหวัง ฆราวาสอย่างพวกเรารอไม่ไหวจึงต้องกระโดดออกมาอยู่แถวหน้าก่อน เพื่อกู่ก้องร้องป่าวว่า "ภัยมา ภัยมา"
@ อาจเป็นเพระว่า พระเพระเถรวาทถูกฝึกให้สงบมานาน มีภัยอะไรราชการก็จัดการให้อย่างที่พระเจ้าอโศกทรงทำ ในบ้านเราก็เช่นกัน
ในความสงบอย่างนี้ ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านตื่นรับรู้สถานการณ์ได้ทัน แต่ถ้าเป็นปุถุชนก็อันตราย เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ความเกียจคร้านกับความเฉื่อยชาจะตามมาประกบกัน หลายท่านจึงวิจารณ์ว่า "นี่แหละความสงบสยบต่อกิเลส" อันทำให้จิตถดถอยกลับไปยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง...ผลจึงออกมาเป็นความคิดอย่างไม่น่าเชื่อว่า
"พระพุทธศาสนาพังได้ แต่ฉันพังไม่ได้"
ครับ ! พระเถรวาทชั้นพระเถระบางรูปในบ้านเรากล่าวอย่างนี้จริงๆ ตอนเราไปขอความช่วยเหลือ
ตอนนั้นผมได้ยินแล้วตกใจ จึงนึกตำหนิท่านว่า ทำกรรมหนักแก่พระพุทธศาสนาเสียแล้ว แต่ตอนนี้อภัยให้ท่านเพราะท่านก็ไปตามกรรม (ยถากมฺมํ คโต) ของท่านแล้ว
@ บัดนี้ ผลจากการเดินสายปลุกพระของคณะเรา มีพระคุณเจ้าจำนวนหนึ่งตื่นแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ..เพราะภัยมาแรงเหลือเกิน จึงต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจจากพระคุณเจ้ามาช่วยระงับ
@ ตื่นเถอะครับ ..พระคุณเจ้า ภัยครั้งนี้ ไม่ได้มาแบบโฉ่งฉ่างอย่างที่ชาวพุทธเจอตามเส้นทางสายไหม และในอินเดีย แต่มาแบบเงียบเชียบเหมือนอย่างที่เคยเข้ามาในอินโดนีเซียคือยึดฐานสำคัญคือการเมือง การปกครอง และระบบราชการ พร้อมส่งผูหญิงหน้าตาดีไปรับใช้ผู้หลักผู้ใหญ่ในหน่วยราชการเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์สืบเชื้อสาย ซึ่งพุทธทำไม่ได้เลย และไม่มีปัญญาทำ เพราะชาวพุทธไม่รู้แผน และไม่วางแผน
@ และซ้ำร้ายคือ วัดพุทธแม้มีเงินก็สงวนเงินไว้สำหรับวัดใครวัดมัน มากกว่าการจะนำมาใช้เพื่อรักษาภาพรวม ...เพราะมักอ้างพระวินัยข้อว่า "ลาภเกิดแก่สงฆ์วัดใดต้องให้แก่สงฆ์วัดนั้น" วัดที่มีเงินเลยได้โอกาสไม่ให้ใคร อ้างว่าเพื่อรักษาพระวินัย แต่หลายคนว่า น่าจะเสียดายเงินมากกว่า...
ที่มา Banjob Bannaruji
พระปลุกพระ หรือต้องให้พระฝรั่งปลุกพระไทย #ภัยพระพุทธศาสนา
Reviewed by
HappinessplusC
on
05:17:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น :