เปิดโปง ปมซ้อนซ่อนเงื่อน #วัดเสือ #TigerTemple

(*) เรื่องของวัดป่าหลวงมหาบัว ญาณสมปนฺโน หรือวัดเสือ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ทั่วโลกรู้จักในชื่อ (Tiger Temple) นั่นเอง

(*) วัดเสือ แน่นอนชื่อนี้ได้มา เพราะมีเสือในวัดเป็นจำนวนมาก ชาวไทย และต่างชาติต่าง ก็มาดูความมหัศจรรย์กับเสือที่นี่ สามารถเข้าใกล้ชิดได้ หรือจะเล่นด้วย พาเดินเล่น เสือก็ไม่เคยทำร้ายนักท่องเที่ยว จนมีผู้คนมากหน้าหลายตาต่างก็อยากเข้ามาสัมผัส กับเสือตัวมีชีวิตตัวเป็น ๆ ที่สามารถเล่นกับคนได้ และถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เป็นประสพการณ์ในชีวิตตน

(*) วัดเสือได้เลี้ยงเสือ มาเป็นเวลา ๑๔ ปี จนมีเสือมากถึง ๑๔๗ ตัว ทางวัดได้มอบหมายให้นายแพทย์ ผู้เชียวชาญได้ดำเนินการต่อทะเบียนการเปิดส่วนสัตว์ เพื่อให้ผู้เข้าชมตามปกติ แต่ลางร้ายเริ่มมาเยือน เมื่อนายแพทย์ ผู้เชียวชาญอ้างว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไม่ย่อมต่อทะเบียนให้

(*) และแล้วเหมือนฟ้าแกล้ง หรือมารผจญ อยู่ดี ๆ ทางวัดก็มีเสือหายออกไปจากวัด ๓ ตัว ทั้ง ๆ ที่เสือทุกตัวผ่านการฝังไมโครชิฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถติดตามได้แน่

(*) แต่อยู่ดี ๆ นายสัตวแพทย์ผู้ดูแลเสือ กลับได้รับไมโครชิฟจากบุคคลลึกลับ นำมาให้ นายแพทย์รีบนำไมโครชีฟเหล่านั้น ไปมอบให้กรมอุทยานพร้อมแจ้งความให้เอาผิดกับทางวัดเลยทันที

(*) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มิเคยสงสัยเลยหรือว่า สัตวแพทย์ได้ชิฟมาจากใคร ? และเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของเสือ ๓ ตัว ดังกล่าวหรือไม่ หรือเขาได้มาจากบุลคลอื่นอีกหรือไม่ มีใครเป็นพยานมั้ย ไมโครชีฟถูกฝั่งเป็นอย่างดี ด้วยฝีมือสัตวแพทย์ ผู้เชียวชาญ คงยากเหลือเกินจะมีใครรู้ตำแหน่งที่ฝั่งไว้อย่างแมนยำเช่นนี้

(*) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นอกจากไม่ส่งสัย และไม่สอบสวนแล้ว ยังเดินดุ่ม ๆ เข้าหาเรื่องทางวัดทันที โดยอ้างการหายไปของเสือ ๓ ตัว พร้อมถามถึงใบอนุญาตเปิดส่วนสัตว์ ที่ตนไม่ยอมต่อให้ บังคับให้นำมาแสดง 

(*) ทางวัดเริ่ม รู้ตัวว่า ได้ฝากปลาย่าง ตัวโตไว้กับแมวขโมยเสียแล้ว เพราะหลักฐานต่าง ๆ ได้หายออกจากวัดไปพร้อมกับนายสัตวแพทย์คนนั้นหมดแล้ว เมื่อสบโอกาส กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช นำโดยนายอดิศร บุชดำรง รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ทราบข่าวว่าเป็นอิสลาม) นำกำลังเจ้าหน้าที่นับร้อยนาย พร้อมอาวุธครบมือ เข้าบุกยึดเสือออกจากวัด คลายปฏิบัติกับกลุ่มก่อการร้ายสากลก็มิปาน ได้นำกำลังปิดล้อมวัด ปิดประตูเข้าออก ปิดโทรศัพท์ อินเตอร์เนต และปิดทีวีวงจรปิด ที่กำลังถ่ายทอดไปทั่วโลก เพื่อปฏิบัติการยึดเสือออกจากวัด แล้วลำเลียงไปไว้ที่สถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งมีอยู่ ๒ แห่งคือ สถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่า เขาสน จังหวัดราชบุรี 

(*) แล้วไปตรวจเจอ ซากลูกเสือ ๔๐ ตัว และ เสือสตัฟฟ์ กับลูกเสือดอง ฝีมือนายสัตวแพทย์ ผู้เชียวชาญ นั้นเอง ก็เป็นตามเคย คือ เมื่อตรวจพบทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มิเคยถาม หรือสอบสวนที่มาที่ไปว่า ใครเป็นคนทำกันแน่

(*) ส่วนหนังเสือ ที่นายอดิศร บุชดำรง รองอธีบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวหาว่าทางวัดทำการค้าขายนั้น ก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่ระบุว่าทางวัดมีการค้าขายซากเสือจริง เช่น หลักฐานการซื้อขาย ผู้ซื้อขาย สถานทีซื้อขาย และเวลาที่ทำการซื้อขาย เจ้าหน้าที่มีระบุเพียงว่า ทางวัดครอบครองหนังเสือ ถ้าพูดไปด้วยเหตุด้วยผลแล้ว วัดป่าหลวงมหาบัว ญาณสมปนฺโน หรือวัดเสือ ได้เลี้ยงเสือมาเป็นเวลานานถึง ๑๔ ปี จะไม่ให้มีเสือป่วยตาย หรือสิ้นอายุไขยตายไปเองคงเป็นไปไม่ได้เลย คนเลี้ยงช้าง ก็ยังคงมีงาช้างเหลืออยู่ คนเลี้ยงวัว ก็มีเขาเหลืออยู่ คนเลี้ยงเสือ จะไม่ให้มีเหลืออะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเหลือหนังและเขี้ยวอยู่บ้าง หลวงพ่อท่านคงเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่อยากทิ้งไปเปล่าประโยชน์

(*) นายอดิศร บุชดำรง รองอธีบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แต่กลับสั่งเจ้าหน้าติดตามประกบพระภิกษุและสามเณร ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ราวกับว่าพระภิกษุและสามเณรเหล่านั้น เป็นอาชญากรสงคราม หรือผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่ราชประสงค์ 

(*) นายอดิศร บุชดำรง รองอธีบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ย้ายเสือออกจากวัด อย่างแมวเอาปลายางตัวโตไปฟรี ยังไม่พอยังยัดหลายข้อหาทิ้้งท้ายให้เจ้าอาวาส แต่นายสัตวแพทย์ ไม่มีการสอบสวนอีกตามเคย และไม่มีแม้แต่ข้อหาเดียวติดตัว.

cr. พระทนงค์