ยุทธการตีโอบ #สังฆมณฑล ตอน #ไล่พระป่าด่าพระเมือง #ช่วงไล่พระป่า แบบที่ 3 #ส่งเข้ากรง (ขัง)
ผ่านไปแล้ว 2 แบบ คือ ทุบวัด และขจัดพระธุดงค์ จึงขอต่อ ส่งเข้ากรง(ขัง)
“ ส่งเข้ากรง (ขัง)” หรือ ทำให้ติดคุก นั่นเอง
สิ่งนี้คือ กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง
ช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 57 และ 58 ที่ผ่านมา จะมีวันหยุดยาว ผมกับเพื่อนจะหยุดรวมประมาณ 9 วัน และเราก็ไปปฏิบัติธรรมที่ภูลังกา อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ต่อเนื่อง 2 ปี
ในการปฏิบัติธรรมของเรา จะไปขึ้นด้านหนึ่ง คือวัดถ้ำชัยมงคล อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
วัดแห่งนี้ ตั้งมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่วัง ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น
สมัยโน้นดินแดนแห่งนี้ ขึ้นชื่อลือชา ว่าเป็นดินแดนอาถรรพ์มาก เพราะเป็นทั้งเมืองหลวงชาว #เมืองบังบด เมืองพญานาค ผี/วิญญาณเร่ร่อนมาก มีรุกขเทวดามาก พรหมมาสักการะพระธาตุบ่อย และที่สำคัญ เป็นแหล่งอาศัยของงูจงอาง และงูเห่า ที่มีพิษร้ายแรงจำนวนมาก ที่ซ่อนอยู่ตามหลืบเขา
พระนักปฏิบัติที่มาอยู่ที่ภูลังกานี้ บางองค์ก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย บางองค์ก็นำชีวิตมาทิ้ง ด้วยเหตุหลายประการ เช่นตกเขากลางดึก เพราะหนีอะไรบางอย่าง ถูกงูกัดตาย ดังนั้นพระป่า จึงขนานนามภูเขานี้ว่า มหาวิทยาลัยพระอรหันต์
สถานที่แห่งนี้ เมื่อก่อนยังไม่มีการประกาศว่าเป็นเขตอุทยาน หลวงปู่วัง ท่านก็มาสร้างวัดและอนุสรณ์สถาน บนภูลังกาแห่งนี้ และหลวงปู่วัง ก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นพระผู้ทรงอภิญญามากในยุคนั้น
ผมกับเพื่อนจึงเลือกมาปฏิบัติธรรมที่แห่งนี้ ซึ่งก็ได้รู้จักกับท่านเจ้าอาวาสของวัดนี้ ก็เห็นว่าท่านอยากพัฒนาวัด และอีกด้านหนึ่ง ท่านก็เป็นพระปฏิบัติรูปหนึ่ง และตัวท่านเองก็ไม่ค่อยมีเงิน ที่ต้องนำไปจ่ายค่าไฟฟ้า พวกผมเองก็ต้องร่วมกันบริจาคค่าไฟฟ้า แม้จำนวนหลักพันสองพัน ซึ่งก็ไม่มาก
และหลังจากที่ผมไปปฏิบัติธรรมที่นั่นเฉพาะช่วงปีใหม่ต่อเนื่อง 2 ปี ก็ย้ายสถานที่ไปปฏิบัติ แต่ก็ได้รับทราบข้อมูลบางอย่างที่น่าตกใจ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่เชื่อว่า จะเป็นจริง เพราะท่านเป็นนักปฏิบัติ
เรื่องของเรื่อง มีอยู่ว่า
วันหนึ่งมีโยมผู้หญิง ที่ไม่รู้จัก มาหาเจ้าอาวาส และนำน้ำปานะมาถวายท่าน พอถวายเสร็จก็กลับทันที โดยไม่ได้ดูว่าท่านฉันหรือไม่ ทำอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวัน
ลองคิดตามดูสิ ถ้าหากเราเป็นพระ มีคนมาถวายน้ำปานะต่อเนื่องทุกวัน ก็พูดคุยสอบถามเป็นธรรมดา
ท่านก็เริ่มคุ้นเคยกับคนที่มาถวาย โดยไม่เอะใจ เพราะเขาถวายเสร็จก็กลับ
เมื่อสนิทมากขึ้น เขาก็ถามว่า ท่านชอบฉันน้ำปานะอะไร เมื่อทราบ วันถัดมาเขาก็นำน้ำปานะชนิดนั้นมาถวายท่าน
และก็เช่นเดิมถวายเสร็จก็กลับ แต่พอนานๆไป ก็เริ่มดูว่าท่านฉันหรือไม่ ก็แน่นอน ท่านก็ฉลองศรัทธา ฉันน้ำปานะที่เขานำมาถวาย
วันหนึ่งก็เกิดเรื่อง ซึ่งผมก็ได้รับการบอกเล่าต่อมา โดยไม่มั่นใจว่า จะมีการเสริมเติมแต่งหรือไม่ แต่ก็ขอเล่าต่อโดยไม่ยืนยัน อีกทั้งผู้ที่เล่าก็คือคนในพื้นที่ ซึ่งก็ตามตัวไม่ได้แล้ว
เขาเล่าว่า วันนั้นโยมผู้หญิงคนนี้ก็มาถวายน้ำปานะตามปกติ เช่นทุกวัน แต่วันนี้ มีอะไรแปลกมากกว่าวันอื่น คือ เมื่อท่านฉันน้ำปานะเสร็จ ก็เกิดอาการปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ เพื่อถ่ายท้อง ท่านก็รีบเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้ล๊อคประตูแต่อย่างใด สักพัก ก็มีเจ้าหน้าที่มาหาท่าน พอท่านออกมาจากห้องน้ำ ก็ปรากฏว่า ห้องถูกล๊อคจากด้านใน ท่าน งงๆ แต่ก็เปิดประตูให้ และผู้หญิงคนนั้น ก็โผล่หน้าไปโชว์ให้คนเห็นแล้วก็รีบจากไป (อันนี้ถ้าจริง ก็โดนไปแล้ว 1 กระทง คือมีผู้หญิงในห้องที่ล๊อคประตูไว้)
เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ได้รับทราบว่า ท่านขายยาบ้า และเสพยาบ้า
ท่านปฏิเสธ เขาจึงขอค้นกุฏิ ซึ่งก็พบว่ามียาบ้าซุกซ่อนอยู่ในกุฏิจริง และเมื่อตรวจฉี่ ก็พบว่า ในฉี่มีสารยาบ้าจริง
ผลก็คือ ท่านถูกจับติดคุก
ผมเองก็ไม่ยืนยันว่าท่านค้ายาบ้าจริงหรือไม่ แต่ถ้าท่านค้ายาบ้าจริง ท่านน่าจะร่ำรวย แต่นี่ทำไมแค่เงินจ่ายค่าไฟฟ้า พันกว่าบาท ท่านยังไม่มีเงินจ่าย แล้วมันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านค้ายา
ส่วนเรื่องของเสพยาบ้า ก็คงไม่สามารถแก้ตัวได้ เพราะผลการตรวจฉี่ก็พบยาบ้าจริงๆ
แต่ผมเองก็ไม่อาจทราบได้ว่า ท่านติดยาบ้าด้วยตนเอง หรือมีกระบวนการ ที่มากับน้ำปานะ
กระบวนการที่ทำจนท่านเชื่อใจ ไว้ใจ เพราะความคุ้นเคย และตกเป็นเครื่องมือ และในที่สุดท่านก็ต้องติดคุก ซึ่งไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านพ้นจากคุกแล้วหรือยัง
และทราบมาว่า ศาลาที่อยู่บนภูลังกา ซึ่งเป็นเงินที่ชาวพุทธบริจาคมาให้คนมาทำบุญได้มาพักผ่อน และทำบุญกัน ก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทุบทิ้งไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทุบทั้งหมด แค่ทุบบางส่วน
ผมเอง รู้สึกเป็นห่วงพระสงฆ์มาก
หากท่านทำผิดจริงด้วยตัวของท่านเอง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรเป็นอย่างมาก
แต่หาก เกิดจากกระบวนการมุ่งทำลายพระพุทธศาสนา อันนี้น่ากลัวมาก
เพราะขบวนการนี้ มีทั้ง ไล่รื้อวัด (วัดตามคำพูดของชาวบ้าน ซึ่งของจริงส่วนใหญ่คือ ที่พักสงฆ์ หรือสำนักปฏิบัติธรรม หรือเป็นสำนักสงฆ์ แต่บางแห่งก็เป็นวัดจริงๆ) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานทั่วประเทศ ที่สำรวจกันแล้วว่า มีประมาณ 6,000 กว่าแห่ง บางแห่งก็ทุบไปแล้วทั้งหมด บางแห่งก็ทุบไปบางส่วน บางแห่งก็ยอมเปลี่ยนไปเป็นพุทธอุทยาน ซึ่งล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์ก็ออกมาให้ข่าว เมือ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 56 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ก็ออกมาให้ข่าวว่า เตรียมนิมนต์พระออกจากป่าจำนวน 4,000 กว่าวัด
บ่งบอกว่า มีการจัดการไปมากพอสมควร จาก 6,000 กว่าแห่ง ตอนนี้ก็กำลังจะจัดการอีก 4,000 กว่าแห่ง ซึ่งกำลังทยอยดำเนินการ อีกไม่นานก็จะไม่เหลือวัดป่าเช่นนี้อีกต่อไป
ก็จะเห็นได้ว่าตอนนี้ มีขบวนการทุบวัด
ต่อด้วยไล่พระธุดงค์ให้ออกจากป่า
ส่วนเจ้าอาวาสนักปฏิบัติ ก็กลายเป็นผู้ค้า/ผู้เสพยาบ้า
ถ้าสิ่งที่เกิดเหล่านี้เกิดจากกลุ่มบุคคลที่ทำงานกันเป็นกระบวนการ ก็น่าเป็นห่วงว่าพระพุทธศาสนาอาจจะสูญจากแผ่นดินไทยซะจริงๆ
แต่ที่เล่ามาทั้ง 3 แบบต่อเนื่อง ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในยุทธการ ตีโอบสังฆมณฑล ซึ่งยังคงมีอีกหลายตอนให้ติดตามกันต่อๆไป
We Are Buddhists
พวกเราคือชาวพุทธ
นายกรณ์ มีดี
เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
23 ก.ค. 59
“ ส่งเข้ากรง (ขัง)” หรือ ทำให้ติดคุก นั่นเอง
สิ่งนี้คือ กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง
ช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 57 และ 58 ที่ผ่านมา จะมีวันหยุดยาว ผมกับเพื่อนจะหยุดรวมประมาณ 9 วัน และเราก็ไปปฏิบัติธรรมที่ภูลังกา อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ต่อเนื่อง 2 ปี
ในการปฏิบัติธรรมของเรา จะไปขึ้นด้านหนึ่ง คือวัดถ้ำชัยมงคล อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
วัดแห่งนี้ ตั้งมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่วัง ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น
สมัยโน้นดินแดนแห่งนี้ ขึ้นชื่อลือชา ว่าเป็นดินแดนอาถรรพ์มาก เพราะเป็นทั้งเมืองหลวงชาว #เมืองบังบด เมืองพญานาค ผี/วิญญาณเร่ร่อนมาก มีรุกขเทวดามาก พรหมมาสักการะพระธาตุบ่อย และที่สำคัญ เป็นแหล่งอาศัยของงูจงอาง และงูเห่า ที่มีพิษร้ายแรงจำนวนมาก ที่ซ่อนอยู่ตามหลืบเขา
พระนักปฏิบัติที่มาอยู่ที่ภูลังกานี้ บางองค์ก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย บางองค์ก็นำชีวิตมาทิ้ง ด้วยเหตุหลายประการ เช่นตกเขากลางดึก เพราะหนีอะไรบางอย่าง ถูกงูกัดตาย ดังนั้นพระป่า จึงขนานนามภูเขานี้ว่า มหาวิทยาลัยพระอรหันต์
สถานที่แห่งนี้ เมื่อก่อนยังไม่มีการประกาศว่าเป็นเขตอุทยาน หลวงปู่วัง ท่านก็มาสร้างวัดและอนุสรณ์สถาน บนภูลังกาแห่งนี้ และหลวงปู่วัง ก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นพระผู้ทรงอภิญญามากในยุคนั้น
ผมกับเพื่อนจึงเลือกมาปฏิบัติธรรมที่แห่งนี้ ซึ่งก็ได้รู้จักกับท่านเจ้าอาวาสของวัดนี้ ก็เห็นว่าท่านอยากพัฒนาวัด และอีกด้านหนึ่ง ท่านก็เป็นพระปฏิบัติรูปหนึ่ง และตัวท่านเองก็ไม่ค่อยมีเงิน ที่ต้องนำไปจ่ายค่าไฟฟ้า พวกผมเองก็ต้องร่วมกันบริจาคค่าไฟฟ้า แม้จำนวนหลักพันสองพัน ซึ่งก็ไม่มาก
และหลังจากที่ผมไปปฏิบัติธรรมที่นั่นเฉพาะช่วงปีใหม่ต่อเนื่อง 2 ปี ก็ย้ายสถานที่ไปปฏิบัติ แต่ก็ได้รับทราบข้อมูลบางอย่างที่น่าตกใจ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่เชื่อว่า จะเป็นจริง เพราะท่านเป็นนักปฏิบัติ
เรื่องของเรื่อง มีอยู่ว่า
วันหนึ่งมีโยมผู้หญิง ที่ไม่รู้จัก มาหาเจ้าอาวาส และนำน้ำปานะมาถวายท่าน พอถวายเสร็จก็กลับทันที โดยไม่ได้ดูว่าท่านฉันหรือไม่ ทำอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวัน
ลองคิดตามดูสิ ถ้าหากเราเป็นพระ มีคนมาถวายน้ำปานะต่อเนื่องทุกวัน ก็พูดคุยสอบถามเป็นธรรมดา
ท่านก็เริ่มคุ้นเคยกับคนที่มาถวาย โดยไม่เอะใจ เพราะเขาถวายเสร็จก็กลับ
เมื่อสนิทมากขึ้น เขาก็ถามว่า ท่านชอบฉันน้ำปานะอะไร เมื่อทราบ วันถัดมาเขาก็นำน้ำปานะชนิดนั้นมาถวายท่าน
และก็เช่นเดิมถวายเสร็จก็กลับ แต่พอนานๆไป ก็เริ่มดูว่าท่านฉันหรือไม่ ก็แน่นอน ท่านก็ฉลองศรัทธา ฉันน้ำปานะที่เขานำมาถวาย
วันหนึ่งก็เกิดเรื่อง ซึ่งผมก็ได้รับการบอกเล่าต่อมา โดยไม่มั่นใจว่า จะมีการเสริมเติมแต่งหรือไม่ แต่ก็ขอเล่าต่อโดยไม่ยืนยัน อีกทั้งผู้ที่เล่าก็คือคนในพื้นที่ ซึ่งก็ตามตัวไม่ได้แล้ว
เขาเล่าว่า วันนั้นโยมผู้หญิงคนนี้ก็มาถวายน้ำปานะตามปกติ เช่นทุกวัน แต่วันนี้ มีอะไรแปลกมากกว่าวันอื่น คือ เมื่อท่านฉันน้ำปานะเสร็จ ก็เกิดอาการปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ เพื่อถ่ายท้อง ท่านก็รีบเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้ล๊อคประตูแต่อย่างใด สักพัก ก็มีเจ้าหน้าที่มาหาท่าน พอท่านออกมาจากห้องน้ำ ก็ปรากฏว่า ห้องถูกล๊อคจากด้านใน ท่าน งงๆ แต่ก็เปิดประตูให้ และผู้หญิงคนนั้น ก็โผล่หน้าไปโชว์ให้คนเห็นแล้วก็รีบจากไป (อันนี้ถ้าจริง ก็โดนไปแล้ว 1 กระทง คือมีผู้หญิงในห้องที่ล๊อคประตูไว้)
เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ได้รับทราบว่า ท่านขายยาบ้า และเสพยาบ้า
ท่านปฏิเสธ เขาจึงขอค้นกุฏิ ซึ่งก็พบว่ามียาบ้าซุกซ่อนอยู่ในกุฏิจริง และเมื่อตรวจฉี่ ก็พบว่า ในฉี่มีสารยาบ้าจริง
ผลก็คือ ท่านถูกจับติดคุก
ผมเองก็ไม่ยืนยันว่าท่านค้ายาบ้าจริงหรือไม่ แต่ถ้าท่านค้ายาบ้าจริง ท่านน่าจะร่ำรวย แต่นี่ทำไมแค่เงินจ่ายค่าไฟฟ้า พันกว่าบาท ท่านยังไม่มีเงินจ่าย แล้วมันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านค้ายา
ส่วนเรื่องของเสพยาบ้า ก็คงไม่สามารถแก้ตัวได้ เพราะผลการตรวจฉี่ก็พบยาบ้าจริงๆ
แต่ผมเองก็ไม่อาจทราบได้ว่า ท่านติดยาบ้าด้วยตนเอง หรือมีกระบวนการ ที่มากับน้ำปานะ
กระบวนการที่ทำจนท่านเชื่อใจ ไว้ใจ เพราะความคุ้นเคย และตกเป็นเครื่องมือ และในที่สุดท่านก็ต้องติดคุก ซึ่งไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านพ้นจากคุกแล้วหรือยัง
และทราบมาว่า ศาลาที่อยู่บนภูลังกา ซึ่งเป็นเงินที่ชาวพุทธบริจาคมาให้คนมาทำบุญได้มาพักผ่อน และทำบุญกัน ก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทุบทิ้งไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทุบทั้งหมด แค่ทุบบางส่วน
ผมเอง รู้สึกเป็นห่วงพระสงฆ์มาก
หากท่านทำผิดจริงด้วยตัวของท่านเอง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรเป็นอย่างมาก
แต่หาก เกิดจากกระบวนการมุ่งทำลายพระพุทธศาสนา อันนี้น่ากลัวมาก
เพราะขบวนการนี้ มีทั้ง ไล่รื้อวัด (วัดตามคำพูดของชาวบ้าน ซึ่งของจริงส่วนใหญ่คือ ที่พักสงฆ์ หรือสำนักปฏิบัติธรรม หรือเป็นสำนักสงฆ์ แต่บางแห่งก็เป็นวัดจริงๆ) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานทั่วประเทศ ที่สำรวจกันแล้วว่า มีประมาณ 6,000 กว่าแห่ง บางแห่งก็ทุบไปแล้วทั้งหมด บางแห่งก็ทุบไปบางส่วน บางแห่งก็ยอมเปลี่ยนไปเป็นพุทธอุทยาน ซึ่งล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์ก็ออกมาให้ข่าว เมือ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 56 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ก็ออกมาให้ข่าวว่า เตรียมนิมนต์พระออกจากป่าจำนวน 4,000 กว่าวัด
บ่งบอกว่า มีการจัดการไปมากพอสมควร จาก 6,000 กว่าแห่ง ตอนนี้ก็กำลังจะจัดการอีก 4,000 กว่าแห่ง ซึ่งกำลังทยอยดำเนินการ อีกไม่นานก็จะไม่เหลือวัดป่าเช่นนี้อีกต่อไป
ก็จะเห็นได้ว่าตอนนี้ มีขบวนการทุบวัด
ต่อด้วยไล่พระธุดงค์ให้ออกจากป่า
ส่วนเจ้าอาวาสนักปฏิบัติ ก็กลายเป็นผู้ค้า/ผู้เสพยาบ้า
ถ้าสิ่งที่เกิดเหล่านี้เกิดจากกลุ่มบุคคลที่ทำงานกันเป็นกระบวนการ ก็น่าเป็นห่วงว่าพระพุทธศาสนาอาจจะสูญจากแผ่นดินไทยซะจริงๆ
แต่ที่เล่ามาทั้ง 3 แบบต่อเนื่อง ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในยุทธการ ตีโอบสังฆมณฑล ซึ่งยังคงมีอีกหลายตอนให้ติดตามกันต่อๆไป
We Are Buddhists
พวกเราคือชาวพุทธ
นายกรณ์ มีดี
เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
23 ก.ค. 59
ยุทธการตีโอบ #สังฆมณฑล ตอน #ไล่พระป่าด่าพระเมือง #ช่วงไล่พระป่า แบบที่ 3 #ส่งเข้ากรง (ขัง)
Reviewed by
HappinessplusC
on
08:02:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น :