คำแปลและความหมายของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คำสอนบทแรกจาก #พระพุทธเจ้า
บทสวดมนต์ต่างๆในพระพุทธศาสนา นอกเหนือจากบทสวดสรรเสริญพรรณนาคุณของพระรัตนตรัยตามที่เรารู้จักกันแล้ว บางบทก็ได้แสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้ผู้คนในภายหลังจดจำพระธรรมเทศนาผ่านบทสวดมนต์ที่สวดอยู่เป็นประจำ เป็นการธำรงค์รักษาคำสอนในอีกรูปแบบหนึ่งไปในตัว ทุกครั้งที่ได้สวดมนต์บทที่เป็นพระธรรมเทศนา จึงเป็นเหมือนกับการได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ ได้รับฟังคำสอนของพระองค์ที่เคยตรัสสอนไว้แล้วเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล จึงนับเป็นบุญกุศลใหญ่ที่เราได้สวดมนต์สาธยายคำสอนของพระพุทธเจ้า และช่วยรักษาคำสอนของพระองค์ไม่ให้เลือนหายไปตามกาลเวลา ยิ่งถ้าเราเข้าใจความหมายก็จะยิ่งทำให้เราได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปทุกครั้งที่เราได้สวดด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดความเข้าใจในธรรมมากยิ่งขึ้น สามารถแนะนำธรรมะที่เรารู้แก่ผู้อื่นได้
ในบรรดาพระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นพระธรรมเทศนาบทแรกของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสสอนเหล่าปัญจวัคคีย์ในวันอาสาฬหบูชา มีใจความแสดงถึงความจริงสูงสุดของสังสารวัฏ และแนวทางไปสู่ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นแม่บทของคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่ขีดเส้นแนวทางการปฏิบัติตนไปสู่พระนิพพาน ถูกรจนาด้วยภาษาบาลี และกลายเป็นบทสวดมนต์บทหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นจึงควรที่เราจะได้ศึกษาคำแปลและความหมายของพระธรรมเทศนาที่สำคัญยิ่งนี้ไว้ อันจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจว่าปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้านั้นมีเนื้อหาอย่างไร? เหตุไฉนพระสูตรนี้จึงได้กล่าวกันว่า เป็นแม่บทในพระพุทธศาสนา? เมื่อเราศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว ก็จะทำให้เราเข้าใจธรรมะในพระพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น และปฏิบัติตนไม่คลาดเคลื่อนไปจากมรรคผลนิพพาน เมื่อใดสวดบทธัมมจักฯนี้ ก็จะเข้าใจในเนื้อหาธรรมะ เพิ่มพูนปัญญาแก่ตนเองสืบไป...
อธิบายคำแปลและความหมายธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1 มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางที่ควรดำเนินไป
"เอวัมเม สุตัง" “ข้าพเจ้าได้สดับมา อย่างนี้”
"เอกัง สะมะยัง ภะคะวา" "สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า"
"พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ฯ" "เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี"
"ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ" "ในกาลนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระปัญญจวัคคีย์อย่างนี้ว่า"
เริ่มต้นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จะขึ้นต้นว่า "เอวัมเม สุตัง" มีคำแปลว่า "ข้าพเจ้า ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้" ผู้กล่าวนี้ก็คือท่านพระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า นอกจากท่านจะทำหน้าที่อุปัฏฐากดูแลพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านยังเป็นผู้ทรงจำพุทธพจน์ทุกบทของพระพุทธเจ้าได้อย่างแม่นยำ เมื่อคราวสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านจึงได้รับหน้าที่เป็นผู้วิสัชนาพระสูตร และพระอภิธรรม เป็นผลทำให้พระไตรปิฎกส่วนที่เป็นพระสูตร และพระอภิธรรมเกิดขึ้นได้เพราะท่านพระอานนท์นี้เอง
หลังจากการเกริ่นนำไว้ ท่านพระอานนท์ก็บอกเล่าถึงช่วงเวลา คำว่า "สมัยหนึ่ง" ที่ว่ามานี้ ก็คือวันอาสาฬหบูชาเดือน 8 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เกือบสองเดือนหลังจากวันวิสาขบูชาเดือน 6 ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ส่วนสถานที่ที่พระองค์แสดงธรรมก็คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งอยู่ใกล้เมืองพาราณสี
(เข้าสู่พระธรรมเทศนา)
เทฺวเม ภิกขะเว อันตา (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ เหล่าอย่างนี้)
ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา (อันบรรพชิตไม่ควรเสพ)
โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค (คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยกาม ในกามทั้งหลายนี้ใด)
หีโน (เป็นธรรมอันเลว)
คัมโม (เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน)
โปถุชชะนิโก (เป็นของมนุษย์ปุถุชน)
อะนะริโย (ไม่ใช่ของคนไปจากข้าศึกคือกิเลส)
อะนัตถะสัญหิโต (ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์)
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค (คือประกอบความเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเหล่านี้ใด )
ทุกโข (ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ)
อะนะริโย (ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส)
อะนัตถะสัญหิโต (ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์)
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา
(ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นกลางไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั่นนั้น)
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา (อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง )
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี (ทำให้เกิดธรรมจักษุ ทำให้เกิดญาณเครื่องรู้)
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ (ย่อมเป็นไปเพื่อเข้าไปสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อ ความดับ)
เนื้อหาตอนต้นของธัมมจักเริ่มด้วยมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการค้นพบใหม่ที่ไม่เหมือนกับแนวทางที่เชื่อกันว่าจะทำให้พ้นทุกข์ในยุคนั้นสองสายคือ กามสุขัลลิกานุโยค การตามประกอบความสุขในกาม และอัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนให้ได้รับความลำบาก เป็นทางสุดโต่ง 2 สายที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ พระพุทธองค์ค้นพบว่าทางไปสู่นิพพานนั้น จะต้องไม่ไปสู่ทางสุดโต่งทั้ง 2 แต่จะต้องเป็นทางสายกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างแนวทางทั้งสอง คือไม่ติดในกาม แต่ก็ไม่ทรมานตนให้ได้รับความลำบากเช่นกัน จึงเรียกว่าทางสายกลาง
ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสสอนบรรพชิตโดยตรง เพราะผู้ฟังเป็นนักบวชก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คฤหัสถ์จะไม่สามารถทำได้ ความจริงแล้วทางสายกลางนี้ก็ใช้เป็นแนวทางได้สำหรับคฤหัสถ์ ซึ่งได้แก่การทำงานหรือการดำเนินชีวิต
เพราะทางสุดโต่งทั้งสองสายนี้ ก็ล้วนมีในคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการดำเนินชีวิตอื่นๆ ตัวอย่างเช่นหากเปรียบกับการทำงาน กามสุขัลลิกานุโยค ก็เหมือนกับการติดสบายไม่ลงมือทำงานให้สำเร็จ หรือถ้าเป็นการเรียนก็เป็นความขี้เกียจ ห่วงเล่น ลักษณะนี้คือกามสุขัลลิกานุโยค ความย่อหย่อนในการทำงาน ส่วนอัตตกิลมถานุโยค ก็เปรียบเหมือนความตั้งใจจะทำงานให้เสร็จเร็วๆ จนละเลยขั้นตอนต่างๆในการทำงาน ผลก็คืองานก็ออกมาไม่ดี หรือซ้ำร้ายก็อาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา ถ้าเป็นการเรียนก็เหมือนการตั้งใจเรียนโดยฝืนตัวเอง ถล่มทลายสังขาร พักผ่อนไม่เพียงพอ ผลก็คือแทนที่จะเข้าใจความรู้ก็ดันเจ็บไข้ได้ป่วยแทน ส่วนมัชฌิมาปฏิปทาก็เปรียบเหมือนทางสายกลาง ไม่หย่อนไปไม่ตึงไป ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานอย่างถูกต้อง ทำให้งานสำเร็จด้วยดี ถ้าเป็นการเรียนก็คือการบริหารเวลาอ่านหนังสือและการพักผ่อนดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ก็จะทำให้เข้าใจความรู้ โดยไม่ต้องถล่มทลายสังขาร
ทางสุดโต่งนี้ยังครอบคลุมไปถึงการดำเนินชีวิตได้เช่นกัน กามสุขัลลิกานุโยคเปรียบเหมือน ความประมาท ลุ่มหลงไปตามกระแสกิเลส จนทำให้ห่างไกลจากการสั่งสมบุญ ทำให้ชีวิตมีอันตราย ทั้งจากอันตรายในชาติปัจจุบันและอันตรายจากภัยอบายในภพหน้า เพราะไม่ได้ตระหนักระวังถึงสิ่งที่ควรระวัง ส่วนอัตตกิลมถานุโยค เปรียบเหมือนความเครียดในชีวิต ความจมปลักกับปัญหาของตน ทัศนคติที่เลวร้ายต่อโลก ทำให้รู้สึกท้อแท้ หดหู่ บั่นทอนกำลังใจที่จะทำความดีเป็นต้น ส่วนมัชฌิมาปฏิปทา คือการตระหนักรู้ถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ และมองชีวิตแบบผู้มีปัญญา ไม่หลงระเริงในชีวิต และไม่จมปลักกับปัญหาจนไม่ทำอะไร ไม่ประมาทในชีวิต แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งเครียด หมั่นสั่งสมบุญ ละเว้นบาป และปฏิบัติหน้าที่การงานของตนด้วยดี ก็จะทำให้ชีวิตปลอดภัย มีสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า ทางสายกลางครอบคลุมไปถึงเรื่องอื่นๆอย่างนี้ (แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะติดในกามสุขัลลิกานุโยคมากกว่าอัตตกิลมถานุโยค ให้เราลองเว้นจากสิ่งที่ดึงใจเราให้ยึดติด เช่นสื่อต่างๆ แล้วจะพบว่าเรามีเวลาเหลือในชีวิตสำหรับการทำงาน การเรียน หรือการใช้ชีวิตมากขึ้น)
นี่คือทางสุดโต่งและทางสายกลางในฝ่ายของทางโลก ส่วนทางสายกลางทางธรรมที่ทำให้พ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายไว้ว่า
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นกลางนั้นเป็นไฉน)
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา (ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง)
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี (ทำให้เกิดธรรมจักษุ ทำให้เกิดญาณเครื่องรู้)
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
(ย่อมเป็นไปเพื่อเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ )
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ (ทางมีองค์ ๘ เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลสนี้เอง)
เสยยะถีทัง (ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ)
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูกต้อง)
สัมมาสังกัปโป (ความดำริถูกต้อง)
สัมมาวาจา (การพูดถูกต้อง)
สัมมากัมมันโต (การกระทำถูกต้อง)
สัมมาอาชีโว (การเลี้ยงชีวิตถูกต้อง)
สัมมาวายาโม (ความเพียรถูกต้อง)
สัมมาสะติ (มีจิตสำนึกถูกต้อง)
สัมมาสะมาธิ (ทำสมาธิอย่างถูกต้อง)
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล ข้อปฏิบัติที่เป็นกลางนั้น)
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา (ที่ตถาคต ได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง)
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี (ทำให้เกิดธรรมจักษุ ทำให้เกิดญาณเครื่องรู้)
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
(ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ)
สรุปโดยย่อ มรรคทั้ง 8 ประการนี้ก็คือการปฏิบัติขัดเกลาตนตามหลักไตรสิกขา (สิ่งที่ควรศึกษาขัดเกลาในตน 3 ประการ) คือศีล สมาธิ และปัญญาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทางกาย วาจา ใจ จัดมรรคทั้ง 8 ประการลงในไตรสิกขาได้ดังนี้...
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูกต้อง) และสัมมาสังกัปโป (ความดำริถูกต้อง) จัดเข้าในปัญญาสิกขา (ข้อที่ควรศึกษาทางปัญญา)
สัมมาวาจา (การพูดถูกต้อง) สัมมากัมมันโต (การกระทำถูกต้อง) และสัมมาอาชีโว (การเลี้ยงชีวิตถูกต้อง) จัดเข้าในศีลสิกขา (ข้อที่ควรศึกษาทางศีล)
สัมมาวายาโม (ความเพียรถูกต้อง) สัมมาสะติ (มีจิตสำนึกถูกต้อง) และสัมมาสะมาธิ (ทำสมาธิอย่างถูกต้อง) จัดเข้าในสมาธิสิกขา (ข้อที่ควรศึกษาทางสมาธิ)
การปฏิบัติตนเช่นนี้คือ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้ไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวล เป็นสิ่งที่ต้องนำมาปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนเอง เมื่อปฏิบัติดังนี้ นับว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องทีเดียว
ส่วนรายละเอียดของมรรค 8 ประการนี้จะเป็นอย่างไร? ทำเช่นไรจึงจะถือว่าถูกต้องตามมรรคทั้ง 8 ประการ? จะขออธิบายในตอนถัดไป
จบตอนที่ 1
Cr. ปธ.ก้าวต่อไป
คำแปลและความหมายของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คำสอนบทแรกจาก #พระพุทธเจ้า
Reviewed by
MFNews
on
04:22:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น :